วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ความหมายของการศึกษาพื้นฐาน

คำว่า “การศึกษาพื้นฐาน” (Basic Education) เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย ในสหรัฐอเมริกา การศึกษาพื้นฐานหมายถึง “การสอนให้มีทักษะในการสื่อสาร คิดคำนวณ และเข้าสังคม เพื่อให้บุคคลสามารถอ่านออกเขียนได้ คิดคำนวณเป็น สามารถค้นคว้าหาความรู้ต่อไปได้ รู้จักโลกแห่งการงาน หน่วยสวัสดิการสังคม ทำงานกับนายจ้างได้ รู้จักการบริโภคที่เหมาะสม รู้จักการปรับปรุงสุขภาพ” (Cartwright, 1970: 407) ตามความหมายนี้มุ่งถึงการศึกษาเบื้องต้นเป็นสำคัญ องค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนานาชาติในด้านการศึกษา ได้ให้คำนิยามการศึกษาพื้นฐานไว้ว่า

การศึกษาสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ให้มีโอกาสได้เรียนความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ปลูกฝังให้เกิดความอยากเรียนอยากรู้ มีทักษะในการเรียนด้วยตนเอง รู้จักถาม สังเกต วิเคราะห์ ตระหนักว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่น” (Edgar Faure, 1972: 162)

ในที่ประชุมโลกว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน (World Conference on Education for All : WCEFA) ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมจอมเทียนประเทศไทย เมื่อปี 1990 ที่ประชุมพอใจที่จะใช้คำว่า “การตอบสนองความต้องการทางการเรียนขั้นพื้นฐาน” (meeting basic learning needs” มากกว่าการใช้ชื่อ “การศึกษาพื้นฐาน” (Basic Education) อย่างไรก็ตามต่อๆมา คำว่า “ความต้องการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน” (basic learning needs) กับคำว่า “การศึกษาพื้นฐาน” ก็ได้มีการนำไปใช้แทนกันอยู่บ่อยๆในการประชุมครั้งนั้น ได้มีการให้นิยามศัพท์ 2 คำไว้ดังนี้--

ความต้องการการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน (Basic learning needs) หมายถึง ความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมที่จำเป็นสำหรับบุคคลเพื่อความอยู่รอด ปรับปรุงคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้ต่อเนื่อง

การศึกษาพื้นฐาน (Basic education) หมายถึง การศึกษาที่มุ่งให้ตอบสนองความต้องการทางการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการเรียนการสอนในระดับต้น ซึ่งเป็นพื้นฐานให้แก่การเรียนรู้ขั้นต่อไป เช่นการศึกษาสำหรับเด็กวัยเริ่มต้น การศึกษาระดับประถม การสอนให้รู้หนังสือ ทักษะความรู้ทั่วไป ทักษะเพื่อการดำรงชีวิต สำหรับเยาวชนและผู้ใหญ่ ในบางประเทศ การศึกษาพื้นฐานยังขยายขอบเขตไปถึงระดับมัธยมด้วย

ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า การศึกษาพื้นฐานมิได้หมายความจำกัดอยู่เฉพาะการศึกษาชั้นประ- ถมศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งบุคคลส่วนใหญ่มีโอกาสได้เข้าเรียนด้วย

แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กล่าวไว้ในหมวดที่ 3 แนวนโยบายการศึกษาว่า “5. ให้การศึกษาระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน รัฐพึงเร่งรัดและขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อ ปวงชนอย่างทั่วถึง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้น” ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าทางราชการไทยได้ถือว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานมีขอบเขต ครอบคลุมถึงการศึกษาระดับมัธยมด้วย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ระบุไว้ว่า“มาตรา 43 บุคคล ย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย--” ซึ่งเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานมีขอบเขตขยายถึงการ ศึกษาระดับมัธยมปลายซึ่งใช้เวลาเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาสิบสองปี

สรุป ได้ว่า การศึกษาพื้นฐานตามความหมายของเอกสารนี้ เป็นการศึกษาที่จัดให้ตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลาย

arrow.gif (276 bytes) ลักษณะการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปัญาหาอุปสรรค

การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเกี่ยวข้องกับนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถศึกษาจากเอกสาร ดังต่อไปนี้

    • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
    • แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535
    • แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)
    • แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)
    • แผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในช่วงแผนพัฒนาฯระยะที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544)
    • พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523
    • พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2478 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

จากการศึกษาเอกสารดังกล่าวข้างต้นได้พบสาระสำคัญที่เกี่ยวกับการศึกษาพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

1. การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาพื้นฐาน

1.1 สิทธิในการรับการศึกษาพื้นฐาน

    • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้ระบุไว้ในมาตรา 43 ว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
    • แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กล่าวเป็นความนำของแผนว่า--

รัฐ มีหลักความเชื่อพื้นฐานว่า การศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญยิ่งในการ พัฒนาคนให้มีคุณภาพ และมีความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะมา ถึง และเชื่อว่าการศึกษาที่จะเป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพทาง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของประเทศจะสามารถสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่สังคมไทย รัฐตระหนักว่าการจัดการศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถสนองความต้องการในการพัฒนาบุคคล ชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้นได้ดีเท่าที่ควร

และ มีหลักการสำคัญ 4 ประการคือ การสร้างความเจริญงอกงามทางปัญญา ความคิด จิตใจ และคุณธรรม การใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การก้าวทันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และความสมดุลระหว่างการ พึ่งพาอาศัยกันกับการพึ่งตนเองพร้อมด้วยความมุ่งหมายที่จะพัฒนาบุคคลทั้งใน ด้านปัญญา ด้านจิดใจ ด้านร่างกาย และด้านสังคม ให้สมดุลกลมกลืนกัน โดยที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตในรูปแบบต่างๆ และกำหนดการศึกษาตามแนวระบบโรงเรียนไว้เป็น 4 ระดับคือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา

การศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา มิได้กำหนดไว้เป็นการศึกษาภาคบังคับ เช่นระดับประถมศึกษาที่กำหนดไว้ 6 ปี แต่เนื่องจากการศึกษาระดับนี้มีความสำคัญในการเตรียมความพร้อมในการเข้าเรียนของเด็ก แผนการศึกษาแห่งชาติก็ได้กำหนดแนวนโยบายในข้อ 3 เอาไว้ว่า

ข้อ 3. ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับบริการเพื่อเตรียมความพร้อมอย่าง น้อย 1 ปี ก่อนเข้าเรียนระดับประถมศึกษา

และได้ระบุไว้ในหมวดที่ 3 ข้อ 5 ถึงการขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานถึงระดับมัธยมว่า-

ข้อ 5. ให้การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของปวงชน รัฐพึงเร่งรัดและขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อปวงชนอย่างทั่วถึงเพื่อยก ระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้สูงขึ้น

1.2 การบังคับเข้าเรียน และการจัดแบบให้เปล่า

  • รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติไว้ว่า “มาตรา 69 บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” และ มาตรา 43 ที่ว่า การเข้ารับการศึกษาพื้นฐาน รัฐจะไม่เก็บค่าใช้จ่าย
  • พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523 ได้บัญญัติไว้ว่า “มาตรา 6 ให้ผู้ปกครองของเด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่แปด ส่งเด็กนั้นเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาจนกว่าจะมีอายุย่างเข้าปีที่สิบห้าเว้นแต่เป็นผู้สอบได้ชั้นประถมปีทีหกตามหลักสูตร หรือหลักสูตรอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

ข้อสังเกต พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ. 2523 ไม่ได้ระบุไว้ที่ใดว่าการจัดการศึกษาภาคบังคับ เป็นการศึกษาให้เปล่า ซึ่งต่างกับ พ.ร.บ. ประถมศึกษา พ.ศ. 2478 ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 7 ว่า “โรงเรียนประชาบาลและโรงเรียนเทศบาล สอนให้โดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน….

  • แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้ระบุในหมวด 3 ข้อ 4 ไว้ว่า

“----- สถานศึกษาของรัฐและของท้องถิ่นจะต้องจัดการศึกษาภาคบังคับเป็นบริการแบบให้เปล่า

ข้อสังเกต แผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นเพียงแนวการดำเนินงานของรัฐเกี่ยวกับการศึกษา ไม่มีผลบังคับให้ต้องปฏิบัติเช่นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ทางราชการก็ได้ถือปฏิบัติว่า การศึกษาภาคบังคับเป็นการศึกษาให้เปล่า ตามที่ได้เคยปฏิบัติต่อๆกันมา

จากข้อ 1.2 จะเห็นได้ว่า ได้มีการกล่าวถึงการศึกษาภาคบังคับไว้ในเอกสารต่างๆ คือ

1.2.1 หน้าที่ในการเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ มีกล่าวไว้ในมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมาตรา 6 ของพระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2533

1.2.2 การจัดการศึกษาภาคบังคับแบบให้เปล่า มีกล่าวไว้ในมาตรา 7 ของพระ-ราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2478 (เลิกใชัแล้ว) และข้อ 4 หมวด 3 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีข้อที่ควรสังเกตว่า พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523 มิได้กล่าวถึงการจัดการศึกษาภาคบังคับแบบให้เปล่าแต่อย่างใด

1.2.3 จำนวนปีตามหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ มาตรา 6 ของพระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523 ได้กำหนดชั้นการศึกษาภาคบังคับไว้ถึงชั้นประถมปีที่ 6 แต่ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้กำหนดให้บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี (ไม่กำหนดว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับ) ในขณะเดียวกัน แผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กำหนดไว้ในหมวด 3 ข้อ 5 ให้การศึกษาระดับมัธยมเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานของประชาชน (ไม่ได้กล่าวว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับ)

1.2.4 อายุของผู้อยู่ในเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ มีระบุไว้ในเอกสารฉบับเดียว คือ พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธศักราช 2523 ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 6 ว่า เด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่แปด จะต้องเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาจนกว่าจะมีอายุย่างเข้าปีที่สิบห้า (เว้นแต่จะสอบไล่ได้ชั้นประถมปีที่ 6 ก่อน)

1.3 การยกเว้นไม่ต้องเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับ พระราชบัญญัติประถมศึกษา พุทธ-ศักราช 2523 มาตรา 8 ได้กำหนดไว้ว่า เด็กที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ไม่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาความ บกพร่องในทางร่างกายและจิตใจ เป็นโรคติดต่อตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ต้องหาเลี้ยงผู้ปกครองซึ่งทุพพลภาพ ไม่มีหนทางหาเลี้ยงชีพและไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดูแทน มีความจำเป็นอย่างอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีตาม (3.) ถ้าผู้ปกครองซึ่งทุพพลภาพมีเด็กซึ่งต้องเข้าเรียนในโรงเรียนประ- ถมศึกษาพร้อมกันหลายคน ให้ยกเว้นเพียงหนึ่งคนต่อมาได้มีการออกกฎกระทรวง ตามความใน พ.ร.บ. ข้างต้น ขยายความว่า โรคที่อาจขอยกเว้นไม่ต้องเข้าเรียนได้แก่ โรคเรื้อนและวัณโรคในระยะอันตราย ส่วนความจำเป็นที่อาจขอยกเว้นไม่ต้องเข้าเรียน ได้แก่ อยู่ห่างจากโรงเรียนประถมศึกษาที่สอนให้เปล่าตามเส้นทางคมนาคมเกิน 3 กิโลเมตรหรือมีอุปสรรคต่อการเดินทางเช่น สภาพภูมิประเทศเป็นป่าภูเขาและแม่น้ำ

1.4 การกระจายอำนาจการจัดการศึกษาพื้นฐาน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาไว้ในมาตรา 43 ดังนี้

---การจัดการศึกษาอบรมของรัฐต้องคำนึงถึง การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองท้องถิ่นและเอกชน ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ

และได้กล่าวไว้ในมาตรา 289 อีกแห่งหนึ่งว่า

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมมีสิทธิที่จะจัดการศึกษาอบรมและการฝึกอาชีพตามความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่นนั้น และเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอบรมของรัฐแต่ต้องไม่ขัดต่อมาตรา 43 และ 81ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ

ที่ว่าไม่ขัดต่อมาตรา 43 ก็คือ การมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ส่วนมาตรา 81 ก็คือ แนวทางในทางจัดการศึกษา เช่น ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และสอดคล้องกับระบอบประชาธิป- ไตย ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในหมวดที่ 3 ข้อ 17 ไว้ดังนี้

ปรับปรุงระบบบริหารการศึกษาให้มีเอกภาพด้านนโยบายและมาตรฐานการศึกษา รวมทั้งให้กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษามีความคล่องตัวในการบริหารและการจัดการศึกษาภายในของสถานศึกษา รวมทั้งสนับ-สนุนให้บุคคลและองค์กรในชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการจัดการศึกษาของชุมชน

จากข้อความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า แผนการศึกษาแห่งชาติได้กล่าวถึงการกระจายอำนาจไว้ด้วย แต่ได้ขยายความไว้ว่า นอกจากกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นแล้ว ยังต้องกระจายอำนาจให้สถานศึกษาด้วยแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 ได้กำหนดนโยบายการศึกษาที่ชี้ให้เห็นถึงความพยายามที่รัฐจะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเดิม 6 ปี ซึ่งเป็นการศึกษาในระดับประถมศึกษาและเป็นการศึกษาภาคบังคับ ออกไปสู่ระดับมัธยมศึกษา ซึ่งได้กำหนดไว้เป็นสองตอน ตอนละ 3 ปี คือมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนี้

การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ พัฒนาคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ และทักษะต่อจากระดับประถมศึกษา ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของตนเอง ทั้งในด้านวิชาการและวิชาชีพ ตลอดจนมีความสามารถในการประกอบการงาน และอาชีพตามควรแก่วัย

การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาตามความถนัดและความสนใจ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือเพื่อให้เพียงพอแก่การประกอบการงานและอาชีพที่ตนถนัด ทั้งอาชีพอิสระและรับจ้าง รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และทักษะทางสังคมที่จำเป็นสำหรับการประกอบการงาน และอาชีพ และการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีสันติสุข”สำหรับแนวทางการจัดการศึกษานั้น แผนการศึกษาแห่งชาติได้เสนอแนะเอาไว้ในเรื่องการจัดเครือข่ายการเรียนรู้และบริการการศึกษาเพื่อปวงชนว่า---

๒. ขยายบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงสภาพปัญหา ข้อจำกัด และความสามารถพิเศษของผู้เรียน เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทห่างไกล ในเขตชุมชนแออัดในเมือง เขตภูเขาและชายแดน รวมทั้งเด็กที่ต้องย้ายถิ่นตามพ่อแม่ ผู้ปกครองไปประกอบอาชีพ สามารถได้รับการศึกษาถึงระดับมัธยมอย่างทั่วถึง

๓. ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการรับเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา เพื่อกระจายโอกาสในการเข้ารับการศึกษาให้เป็นธรรม

และ สิ่งสำคัญยิ่งในขณะนี้ คือมาตรา ๔๓ แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้มีการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย นับเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่งที่ประชาชนจะได้ทราบเจตนารมณ์ของรัฐที่หวังจะยก ระดับคุณภาพของประชาชนให้ทัดเทียมกับอารยะประเทศทั้งหลายอย่างสำนึกในความ รับผิดชอบ

arrow.gif (276 bytes)สภาพปัจจุบันและผลการดำเนินงาน

แม้รัฐจะได้ส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาให้ทั่วถึง และพยายามให้คนไทยได้เรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น แต่ในทางปฏิบัติพบว่า สภาพการจัดการศึกษายังอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องพัฒนาอีกเป็นอันมาก ทั้งในด้านการเข้าเรียน ด้านกระบวนการศึกษา และผลลัพธ์ของการศึกษา

1. ด้านการเข้าเรียน ในด้านการเข้าเรียนนั้นสรุปได้ดังนี้คือ ---

1.1 ระดับก่อนประถมศึกษา ประชาชนให้ความสนใจต่อการศึกษาระดับก่อนวัยเรียนเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก จาก 44.1 % ของกลุ่มอายุ ในปี 2533 เป็น 78.4% ในปี 2539 และ ในปี 2540 เป็น 81.6% จากตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่ามีเด็กเล็กเข้าเรียนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีเด็กเล็กที่ยังมิได้เข้าสู่การเตรียมพร้อมเพื่อเริ่มต้นการเรียนอีกเป็นจำนวนมาก เด็กผู้ด้อยโอกาสเหล่านี้ได้แก่เด็กที่อยู่ห่างไกล เด็กยากจน เด็กชาวไทยภูเขา และเด็กที่มีปัญหาเช่นพิการในด้านสุขภาพ เด็กอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี ประมาณร้อยละ 19 หรือประมาณ 400,000 คน อยู่ในภาวะทุพโภชนาการ เด็กอายุแรกเกิดถึง 2 ปีจำนวนมากมีภาวะโลหิตจาง โดยเฉพาะในชนบทมีเด็กเป็นโรคโลหิตจางค่อนข้างสูงประมาณร้อยละ 25 - 30 นอกจากนั้นยังมีการขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น สารไอโอดีนและธาตุเหล็ก

1.2 ระดับประถมศึกษา กลุ่ม อายุของเด็กวัยระดับประถมศึกษามีปริมาณลดลง อันเนื่องมาจากการวางแผนครอบครัวและการไม่ได้เข้าเรียนอันเนื่องมาจากการ อพยพย้ายตามบิดามารดาที่ต้องเดินทางไปประกอบอาชีพในที่ต่างๆ ประมาณว่ามีเด็กกลุ่มอายุ 6 - 11 ปี เข้าเรียนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 90 ในปี 2539 เป็นร้อยละ 92.1 ในปี 2540 ของกลุ่มอายุระดับประถมศึกษา จะเห็นได้ว่ายังมีเด็กส่วนหนึ่งมิได้อยู่ในระบบการศึกษาให้ครบ 6 ปีได้ ทำให้เป็นสาเหตุที่จะต้องจัดการศึกษานอกระบบโรงเรียนตามมาในภายหลัง

1.3 ระดับมัธยมศึกษา อัตรา นักเรียนจบชั้นประถมศึกษาเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษามีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น จำนวนมาก จากร้อยละ 53.7 ในปี 2533 เป็นร้อยละ 90.2 ในปี 2539 ทั้งนี้ด้วยความพยายามที่จะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานจาก 6 ปี (ระดับประถมศึกษา) เป็น 9 ปี (ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น) แต่จากการที่เด็กวัยประถมศึกษาเข้าเรียนไม่ครบ 100 % (90%) จึงอาจกล่าวได้ว่าการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นอยู่ในระดับประมาณ ร้อยละ 80 ของกลุ่มอายุ แสดงให้เห็นว่ายังมีกลุ่มอายุวัยมัธยมศึกษาตอนต้นอีกประมาณร้อยละ 20 ที่ควรจะต้องได้รับการศึกษาระดับนี้ ด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด การออกจากโรงเรียนกลางคันและเข้าสู่ตลาดแรงงานในระยะนี้ก่อให้เกิดแรงงานไร้ ฝีมือเพิ่มมากขึ้น สำหรับการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายนั้นจะเห็นได้ว่า นักเรียนเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว ส่วนใหญ่จะเรียนต่อมัธยมศึกษาตอนปลายในสายสามัญหรือสายอาชีพอย่างหนึ่งอย่าง ใด ซึ่งมีจำนวนใกล้เคียงกันทั้งสองสาย อย่างไรก็ตาม อาจจะกล่าวได้ว่าเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบในระดับพื้นที่ เช่น จังหวัด ชุมชน (นอกเมือง - ในเมือง) แล้ว จะเห็นได้ว่า การเข้าเรียนมีความแตกต่างกัน ความเหลื่อมล้ำในการเข้าเรียนต่อมีมากขึ้น โดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษาในแต่ละภาคและจังหวัด นับว่ามีนัยสำคัญต่อการพัฒนากำลังคนให้สามารถสนองตอบความต้องการของชุมชน จังหวัดและภาคต่างๆเป็นอย่างยิ่ง

2. ด้านกระบวนการศึกษา ในด้านกระบวนการของการศึกษานั้น สรุปได้ดังนี้---

2.1 ระดับก่อนประถมศึกษา โดยทั่วๆไปจะจัดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาหรือโรงเรียนประชาบาลและเทศบาล นอกจากนี้ได้มีโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กที่วัดจัดตั้งขึ้น และโรง เรียนเอกชนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตชุมชน เด็กในชนบทห่างไกลยังมีปัญหาในการเข้าเรียนในระดับนี้ การจัดครูที่ผ่านการฝึกอบรม ให้เข้าสอนในโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กเหล่านี้ และการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจนกรอบหลักสูตร การเรียนการสอน การพัฒนาสื่อการเรียนเพื่อเด็กระดับนี้ยังจะต้องได้รับการพิจารณาปรับปรุงอีกเป็นอันมาก โดยทั่วไปเด็กก่อนประถมศึกษา จะได้รับบริการด้านพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาเป็นสำคัญ

2.2 ระดับประถมศึกษา แม้จะได้ปฏิบัติตามแผนพัฒนาการศึกษา มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในด้านคุณภาพของการประถมศึกษา ทั้งที่เกี่ยวเนื่องถึงคุณภาพ หรือทักษะพื้นฐานเดิมของเด็ก ความสามารถในการสอนของครู ความพร้อมของสื่อในการเรียนการสอน ความช่วยเหลือเกี่ยวข้องของผู้ปกครอง และความเป็นหุ้นส่วนของนักวิชาการและสถาบันการศึกษาระดับสูงในพื้นที่ และที่สำคัญคือการบริหารจัด การและความรับผิดชอบต่อคุณภาพการศึกษาของคณะกรรมการโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ทำให้การเรียนการสอนในระดับนี้ไม่สร้างประสบการณ์จริงให้แก่นักเรียนเท่าที่ ควร จากการ ศึกษาวิจัยก็พบอยู่เสมอว่า ความรู้ความสามารถของเด็กในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ ค่อนข้างต่ำ

2.3 ระดับมัธยมศึกษา ส่วนใหญ่ยังเป็นการเรียนหนังสือแบบดั้งเดิม คือการเตรียมผู้เรียนเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาแบบเก่าๆ เรียนด้วยระบบการติวมากกว่าการสร้างประสบการณ์ ขาดมาตรฐานด้านการปฏิบัติงานให้แก่นักเรียน แม้ในแผนการศึกษาแห่งชาติและหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการจะได้ชี้แนวทางในการจัดการศึกษา การเรียนการสอนในระดับนี้ไว้ว่า ให้สามารถเข้าเรียนต่อและพร้อมที่จะออกประกอบอาชีพได้ ครูทำหน้าที่เป็นผู้สอนผู้บอกแทนที่จะทำหน้าที่ในการป้อนข้อมูลและสารสนเทศ ให้นักเรียน นักเรียนในปัจจุบันยังเป็นเพียงผู้ฟังและจดบันทึก แทนที่จะเป็นผู้ทำโดยนำเอาข้อมูลความรู้มาจัดสร้างให้เป็นความรู้ใหม่ขึ้น

สมรรถนะของนักเรียนมัธยมด้านความรู้ความคิดยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำทุกด้าน โดย เฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ความสามารถในวิชาภาษาไทยและอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุง ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจำนวนค่อนข้างมากที่เขียนเรียงความภาษาไทยไม่ค่อยได้

3. ด้านผลลัพธ์ของการศึกษา

3.1 ระดับก่อนการประถมศึกษา ผลลัพธ์ที่ต้องการคือการสร้างความพร้อมและวุฒิภาวะให้แก่เด็กวัยนี้เป็นสำคัญ แต่ในทางปฏิบัติปรากฎว่าโรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็กหลายแห่งกลับมุ่งเน้นไปที่การเรียนหนังสือ การให้เด็กอ่านหนังสือโดยการบังคับอาจเป็นการทำร้ายจิตใจเด็ก ทำให้เด็กเบื่อหน่ายต่อระบบโรงเรียนตั้งแต่แรก การเล่นและการเรียนของเด็กวัยนี้จึงควรต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

3.2 ระดับประถมศึกษา หาก ได้เด็กที่ผ่านการเรียนมาจากชั้นเด็กเล็ก ที่ได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดี ย่อมทำให้การเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาง่ายขึ้นมาก เพราะเด็กเข้าใจและมีประสบการณ์มาแล้ว ถึงกระนั้นก็ตาม เรายังพบว่าการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษายังไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร ทำให้เด็กไปเรียนต่อระดับมัธยมด้วยความยากลำบาก การเรียนการสอนในระดับประถมศึกษายังมุ่งเน้นความจำ ขาดการให้เด็กได้ปฏิบัติที่เป็นชีวิตจริง มาตรฐานที่คำนึงถึงยังเป็นเพียงมาตรฐานด้านเนื้อหาสาระตามหลักสูตร แต่ขาดมาตรฐานด้านทักษะและการปฏิบัติงาน การประเมินผลยังมุ่งเน้นรายงานเป็นระดับคะแนน มากกว่าจะรายงานว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เช่น อ่านหนังสือได้คล่อง นาทีละกี่คำ บวกเลขได้คล่องแคล่วอย่างไร ลบเลขได้คล่องเป็นอย่างไร เป็นต้น

อัตราซ้ำชั้นของนักเรียนในระดับประถมศึกษาโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ จากร้อยละ 3.6 ในปี 2530 เป็นร้อยละ 2.8 ในปี 2536 โดยชั้นประถมปีที่ 1 มีอัตราซ้ำชั้นสูงสุด ร้อยละ 7.7 ในปี 2537 ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการขาดความพร้อมทางร่างกายและสติปัญญา สภาพแวดล้อมในครอบครัวไม่เอื้ออำนวย อัตราการออกกลางคันมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน จากร้อยละ 19.6 ในปี 2530 เหลือร้อยละ 14.2 ในปี 2536

3.3 ระดับมัธยมศึกษา ในระดับนี้ เราต้องการผลลัพธ์ที่บังเกิดทักษะหลายๆ อย่างขึ้นกับตัวผู้เรียน ทั้งทักษะด้านการอ่าน การเขียน การคิดเลข และทักษะด้านการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ความรู้ขึ้นเองโดยเพิ่มพูนสติปัญญาอย่างหลากหลาย ทั้งด้านมิติสัมพันธ์ ดนตรีสัมพันธ์ ภาษา การคิดคำนวณ ความสามารถทางกาย การปรับตัวเข้าสังคม และการเข้าใจตนเองเหล่านี้ แต่ปัจจุบันพบว่า ความสามารถของนักเรียนเพียงสองอย่างที่มุ่งเน้นเป็นอันมากคือ ภาษาและคณิตศาสตร์ แต่ผลที่ได้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆแล้วยังไม่อยู่ในขั้นที่น่าพอใจ จนทำให้นักเรียนร้องทุกข์ว่าขาดทักษะในการเขียนและการเขียนแบบอ้างอิง ขาดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ต่างๆ เป็นต้น

arrow.gif (276 bytes)ปัญหา/อุปสรรคและแนวทางแก้ไข

ปัญหาและอุปสรรค

ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการศึกษาไทย ควรต้องวิเคราะห์และพิจารณาปัญหาและอุปสรรคจากระบบต่างๆทั้งระบบการศึกษาโดยรวมเช่น ระบบการบริหารจัดการ ระบบบริหารจัดการในโรงเรียน ระบบการเรียนการสอน และระบบการวัดผลประเมินผล เป็นต้น

ระบบการบริหารจัดการ การศึกษาไทยอาจได้ชื่อว่ามีการบริหารจัดการแบบรวมอำ- นาจศูนย์กลางอย่างสูง (highly centralized bureaucracy) ตามระบบการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งในสมัยเริ่มต้นการศึกษาในระบบโรงเรียนนั้น โรงเรียนก็ได้รับสถานะเป็นนิติบุคคลดังเช่นวัดในปัจจุบัน โดยมีการบริหารจัดการหลายอย่างที่ระดับโรงเรียน ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการมีกรมที่จัดการศึกษาหลายกรมเช่น สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ รับผิดชอบโรงเรียนประถมศึกษา ชั้นเด็กเล็กส่วนใหญ่ และมัธยมศึกษาบางส่วน กรมสามัญศึกษารับผิดชอบโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่และการศึกษาพิเศษ สำนักงานการศึกษาเอกชนรับผิดชอบสถานศึกษาเอกชน กรมการศาสนารับผิดชอบโรงเรียนบางส่วน รวมทั้งศูนย์เด็กเล็ก กรมอาชีว- ศึกษารับผิดชอบสถานศึกษาด้านอาชีพ เป็นต้น

เมื่อ กรมเหล่านี้จัดเป็นนิติบุคคล ทำให้โรงเรียนหมดฐานะในการเป็นนิติบุคคลไปโดยปริยาย ดังนั้นการบริหารจัดการในระดับจังหวัดจึงเป็นเพียงการได้รับมอบอำนาจจากกรม เจ้าสังกัดในส่วนกลาง จังหวัดและโรงเรียน/สถานศึกษาจึงมีแนวโน้มในการจัดการศึกษาตามที่กรมเจ้า สังกัดสั่งมา มิใช่จัดการศึกษาเพื่อสนองตอบความต้องการของสังคมและชุมชนของตนเท่าที่ควรจะ เป็น การจัดการศึกษาโดยระบบกรมเจ้าสังกัดเช่นนี้ทำให้การจัดการศึกษาในระดับ จังหวัดไม่มีความเป็นเอกภาพ การจัดการศึกษาโดยรัฐฝ่ายเดียวเช่นนี้อาจเป็นเรื่องเสียหายแก่การวางพื้นฐาน ประชาธิปไตยในประเทศ เพราะขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน เพียงจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนในการพัฒนาเด็ก แต่พ่อแม่/ผู้ปกครองนักเรียนยังไม่มีโอกาสและได้รับสิทธิเต็มที่ แล้วจะให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาบ้านเมืองในด้านอื่นให้สนิทได้อย่างไร

ปัจจุบันจะพบว่า การปฏิบัติงานในโรงเรียน/สถานศึกษานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มิได้เกิดขึ้นจากความต้องการของชุมชนโรงเรียน แต่มาจากส่วนกลางโดยจัดทำออกมาเป็นกฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง และข้อบังคับต่างๆ ทำให้ส่วนท้องถิ่นคือโรงเรียน/สถานศึกษาเกือบไม่มีสิทธิในการคิดสร้างสรรค์ของตนขึ้นเอง จึงทำให้โรงเรียน/สถานศึกษาต้องปฏิบัติงานในรูปงานประจำที่ติดอยู่ในกรอบ ขาดการพัฒนาที่มาจากวิสัยทัศน์ของชุมชนโรงเรียน และไม่สามารถจะสร้างแผนยุทธศาสตร์ในการปรับปรุงโรงเรียนที่ดีได้

ระบบการบริหารจัดการระดับโรงเรียน/สถานศึกษา ความจริงโรงเรียน/สถานศึกษาเป็นหน่วยพัฒนาผู้เรียนโดยตรง ชุมชนโรงเรียนที่ประกอบด้วยครู พ่อแม่ผู้ปกครอง นักเรียนและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ควรจะได้ร่วมมือกันวางแผนปรับปรุงโรงเรียน สร้างสรรค์ความเป็นเลิศให้เยาวชนของตนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรับผิดชอบในคุณภาพการศึกษา แต่การปฏิบัติในปัจจุบันของไทยก็คือ โรงเรียนปฏิบัติงานตามลำพังในกลุ่มครู ที่ใดมีครูใหญ่ที่ดีมีความรับผิดชอบสูง ไม่ทิ้งโรงเรียน พร้อมด้วยมีครูอาวุโสที่เสียสละ มีครูขั้นมืออาชีพในสาขาวิชาต่างๆอย่างพร้อมเพียงก็สามารถจะดำเนินการไปได้อย่างดีมีคุณภาพ แต่โรงเรียนส่วนใหญ่ของไทยมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะการบริหารบุคลากรอยู่ในอำนาจของผู้อื่น ตัวอย่างเช่นโรงเรียนต้องการครูสอนวิชาหนึ่งแต่หน่วยเหนืออาจส่งครูที่ถนัดในวิชาอื่นมาให้ โรงเรียนขาดภาวะผู้นำเพราะหน่วยเหนือจัดการเสียเอง การที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะการจัดการในระบบโรงเรียนยังขาดองค์ประกอบที่สำคัญอีกหลายประการเช่น การมีส่วนร่วมของประชาชน การมีหุ้นส่วนของโรงเรียนกับสถาบันการศึกษาระดับสูง การช่วยเหลือทางวิชาการ สื่อ และสังคมเทคโนโลยีทางการสอนของหน่วยเหนือ

ระบบการเรียนการสอน การ สอนของครูยังเป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนลอกเลียนความรู้มากกว่าการป้อนข้อมูล สารสนเทศเพื่อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ของผู้เรียนเอง ปัจจุบันการเรียนของนักเรียนยังอยู่ในรูปที่ครูบอกให้ทำ กำหนดโจทย์เลขให้คิด และมีความรู้เท่าที่ครูบอกหรือเท่าที่ครูกำหนด คิดนอกเหนือจากที่ครูบอกไม่ได้ หรือตั้งโจทย์เลขของตนเองและแก้ปัญหาโจทย์นั้นๆของตนไม่ได้ นับเป็นการเรียนที่ไม่เป็นความสุขและไม่ท้าทายให้อยากเรียน ความสุขของผู้เรียนน่าจะเกิดจากการทำงานที่ตนชอบและทำได้สำเร็จ เมื่อเรียนไม่มีความสุข ในที่สุดเด็กก็ถูกทำร้ายจิตใจทั้งจากครูและพ่อแม่ผู้ปกครองของตนเอง การเรียนการสอนเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายจะต้องทุ่มเท ใช้พลังงานและพลังความคิดในการจัดการเรียนการสอนในการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็นการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการพัฒนาคน มิใช่การเรียนการสอนเพียงเพื่อเลือกสรรคน

ระบบการวัดผลประเมินผล การ วัดผลประเมินผลเป็นระบบที่สำคัญอีกระบบหนึ่งของระบบการศึกษาที่แสดงให้เห็น ว่าครูผู้สอนนั้นเป็นผู้ชำนาญการในระดับมืออาชีพ เป็นนักวิจัย (teachers as researchers) และพัฒนา เพราะการวัดผลประเมินผลนั้นเป็นกระบวนการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล และนำข้อมูลมาแก้ไขปัญหาที่เกิดกับการสอนของครูและการเรียนของนักเรียน นับว่าสามารถเอาข้อมูลจากการวัดประเมินนักเรียนมาจัดการในด้านการปรับปรุง การเรียนของนักเรียน และการสอนของตนได้ มิใช่นำเอาผลการวัดและประเมินมาใช้เพียงแค่การตัดสินได้-ตก หรือการจัดทำระดับคะแนนและใช้คะแนนเป็นเครื่องมือทำร้ายจิตใจเด็ก ดังที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า การวัดและประเมินผล เช่นวิธีการทดสอบอย่างผิวเผินจากการใช้ข้อสอบแบบปรนัยไม่สามารถเขียนข้อสอบ ที่วัดให้ลึกซึ้งได้ ขาดการวัดผลด้านการปฏิบัติ และชี้ให้เห็นว่า มิได้สอนให้เด็กปฏิบัติงานและสอนให้เป็นชีวิตจริงหรือได้ประสบการณ์จริง และมิได้กำหนดมาตรฐานและ/หรือตัวบ่งชี้ด้านการปฏิบัติงานอันเป็นเป้าหมายที่ สำคัญของการศึกษา การรู้ระดับคะแนนไม่สามารถบอกได้ว่านักเรียนทำอะไรได้บ้าง ผู้ปกครองจึงไม่สามารถช่วยเหลือลูกได้เท่าที่ควร
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า..

จิตของคนเรานั้น เหมือนกับลิง

เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง

ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด

มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด

จนกลายเป็นว่า “กะปิ” ถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า “ความเกลียดกะปิ”

ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ

หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก

สิ่งที่เราเกลียดนั้น

บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา

ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูกก็คือความรู้สึกอยากผลักไส

ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว

แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น

นอกจากความอยากผลักไสแล้ว

ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน

กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที

ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน

เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง

โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้

ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ

วันดีคืนดี ลิงมาที่สวน

เห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว

แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง

เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้

ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก

พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้

เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว

สุดท้ายก็ถูกคนจับได้

ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น

มันก็เอาตัวรอดได้

แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก

มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันอยากได้

จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น

เวลาประสบปัญหา

เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย

แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย

จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด

ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น

ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง

มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ

บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น

หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว

ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่ง

ทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ

ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน

หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย

ดั่งเจ้าลิงหวงถั่ว.
ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ

ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา

เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ

บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก

เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ

เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน

ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น

ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด

ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา

บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน

และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว

จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา

เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง

ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ

ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด

บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ

ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้

เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ

ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว

แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง

ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป

แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้

แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้าง

และบางที

ก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต

เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน

ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า

ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ

แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น

นานวันเข้า..นานวันเข้า

ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด

พอถึงวันนั้น..

คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป...

สอนลูกให้กตัญญู


เสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดหลายวันติดต่อกัน พวกเราจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ และเป็นการสอนเด็กไปด้วยในตัวกันดี
ผม เสนอให้พาลูกๆ ไปเยี่ยม ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปมือเปล่าครับ ซื้อของติดไม้ติดมือไปด้วย ไม่จำเป็นต้องราคาแพง อาจเป็นผลไม้ตามฤดูกาลที่ท่านชอบก็ได้ เวลาไปซื้อควรพาลูกไปเลือกซื้อด้วย แล้วก็บอกว่าจะซื้อไปฝากย่า คุณย่าชอบทานองุ่น แล้วก็ให้ลูกเป็นคนถือของเข้าไปให้คุณย่าด้วยตัวเอง เค้าจะจดจำได้แม่นมาก
ของ ฝากที่นำไปฝากญาติผู้ใหญ่ ไม่มีค่ามากมายหรอกครับ แต่มันมีความหมายทางด้านจิตใจ องุ่นโลครึ่งโล ท่านหาซื้อทานเองได้ครับ แต่ความสุขใจที่ลูกหลานเอามาฝากนี่ซิ มันชุ่มชื่นหัวใจอย่างล้นเหลือ บางทีเอาไปคุยตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย ว่าลูกหลานซื้อมากฝาก

มาดูข้อดีกันว่าได้อะไรบ้างจากการใช้วันหยุดไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่
1.ทำให้ญาติผู้ใหญ่มีความสุข เห็นความสำคัญของตนเอง ว่าลูกหลานยังรักและห่วงใย ความสุขนี่เอง ที่ทำให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว
2.เราเองได้แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซึ่งทำให้เรามีความสุขและอิ่มเอมใจ
3.เป็น การสอนให้ลูกเห็นถึงความกตัญญู ด้วยการกระทำร่วมกับเค้า เป็นการสอนที่ฝังใจเค้าไปจนโต และแน่นอน เมื่อคุณแก่ตัวลง ลูกคุณก็จะพาหลานซื้อของมาเยี่ยมคุณเช่นกัน
ยัง ยังไม่หมด เพราะต่อไปหลานคุณก็จะพาเหลนมาเยี่ยมคุณหรือลูกคุณต่อไปเรื่อยๆ อีกหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว
เห็น มั้ยครับว่า มันเป็นการกระทำที่สำคัญและยิ่งใหญ่ขนาดไหน รีบทำตั้งแต่บัดนี้เถอะครับ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังเลยว่าลูกคุณจะมาเยี่ยมคุณตอนแก่ตัว

...บ่อยครั้งที่มักจะได้ยินว่าเราไม่รู้จะบอกเค้ายังงัยเพราะเราเป็นแค่เพื่อน
แต่ความจริงแล้ว คุณเป็นตั้งเพื่อน...ต่างหาก

...โลกไม่เคยทำให้มนุษย์สมบูรณ์แบบเพื่อเผื่อเนื้อที่ให้คุณได้มีโอกาสแสวงหา
แต่โลกทำให้มนุษย์มีความเหงาเพื่อให้มนุษย์แสวงหาความรักและมอบความรัก
และได้รู้ว่า...การมีเพื่อนทำให้โลกไม่เงียบเหงาจนเกินไป

...ในแต่ละวัน... ให้เริ่มต้นวันด้วยการยิ้ม
ไม่ว่าเรื่องที่จะทำให้ยิ้มได้ในแต่เช้านั้นจะมีไม่กี่เรื่อง
...ในแต่ละวัน... ให้นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ดีต่อเราวันละ 1 อย่าง หรือ 1 คน
...ในแต่ละวัน... ให้จบทุกอย่างที่เป็นปัญหาไว้ที่ทำงานไม่ต้องแบกกลับมาที่บ้าน
...ในแต่ละวัน ... ให้ทำความรู้จักผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยวันละ 1 คน
และอย่าลืมรักษาคนรู้จัก ให้อยู่กับเราได้นานๆ
ก่อนที่วันนี้คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ
...จงสำรวจตัวเองว่าได้ทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า

หากวันนี้เหลือเพียงวันสุดท้าย รักแค่ไหน...ได้ทันบอกเธอหรือยัง
หากว่าพรุ่งนี้สายเกินไปทุกอย่าง เราและเขา...ดีต่อกันพอไหม
และถ้าเกิดว่า 24 ชั่วโมงต่อจากนี้คือวันสุดท้ายของคุณจริงๆ
มันเพียงพอกับสิ่งที่คุณอยากจะทำมั้ย ?

...เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น
เมื่อเงินทองเป็นเจ้าของเวลาไปซะหมด
แล้วเมื่อไหร่คุณจะเป็นเจ้าของเวลาบ้าง

มีสติ-สตางค์อยู่ก็ปลีกเวลาไปใช้บ้าง
อีกหน่อยไม่มีสติต่อให้มีสตางค์ก็สายไปซะแล้ว

เวลาที่เรารักใคร ..เราจะรู้สึกตัวเล็กเหลือเกิน
เวลาที่ใครรักเรา ..เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน
แต่ถ้าเราเจอคนที่รักกัน ..เราจะผลัดกันตัวใหญ่ตัวเล็ก

...มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ารับการบำบัดยาเสพติด ถามผู้คุมว่า
หลังจากผ่านการบำบัดแล้ว อีกนานแค่ไหนจึงจะออกเดทได้
ผู้คุมจึงแนะนำว่า... หลังจากออกจากที่นี่แล้ว
ปีแรกให้ซื้อต้นไม้มาปลูก..ดูแลมันให้ดีๆ
ปีต่อไปให้หาสุนัขมาเลี้ยง
หลังจากนั้นถ้าต้นไม้และสุนัขไม่ตาย ก็แสดงว่าเริ่มมีความรักได้แล้ว

...เราคือคนสำคัญเหลือเกินคนหนึ่งของครอบครัว
แต่ต้องไปเป็นคนที่ไม่ค่อยมีคุณค่าของใครก็ไม่รู้
ที่เราเชื่อมาตลอดว่าเขาสำคัญ... เพื่ออะไร

..จบแล้วสำหรับการคัดลอก ตอนนี้อยากให้คนที่อ่าน อ่านซ้ำอีกครั้งว่า
แต่ละท่อน แต่ละวรรค แต่ละประโยค สอดคล้องกับชีวิตของตนเองบ้าง
แต่ละท่อนบ่งบอกความรู้สึกอย่างไรบ้าง
อย่าปล่อยให้ข้อความในนี้เป็นเพียงการคัดลอกจากเศษกระดาษ
และจงให้มันได้แสดงถึงคุณค่าต่อความรัก ความรู้สึก
ที่คุณมีทั้งต่อตัวคุณ คนที่คุณรัก และ ครอบครัวของคุณ
แต่ละท่อนมีความหมายและทรงคุณค่าในตัวของมันเอง
จงอ่านและตีความอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แล้วคุณจะพบว่าชีวิตของคุณได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อน..

ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่

มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ

สอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น



มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

:

:

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ

ไว้

:

:

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย

การตรวจหัวใจ

ระยะ นี้มีข่าวเรื่องการตรวจและการรักษาโรคหัวใจชนิดใหม่ๆ มากมายหลายวิธี ทำให้ทั้งประชาชน (คนปกติ) คนไข้ หมอ (ที่ไม่ใช้หมอหัวใจ) และหมอหัวใจ บางครั้งก็สับสนไปเหมือนกันว่าอะไรดี อะไรไม่ดี จะเลือกตรวจหรือเลือกรักษาด้วยวิธีไหน

วิธีหาคำตอบ ตามหลักการ (ที่พวกหมอ) คิดนั้นไม่ยาก แต่ต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า การตรวจ การรักษาทุกชนิดมีความเสี่ยงและการที่ไม่ตรวจและไม่รักษาภาวะผิดปกติหรือโรค ใดๆ ก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน!!

ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกการตรวจหรือการรักษาด้วยวิธีไหน ก็ต้องมีความรู้ว่า การตรวจหรือรักษาด้วยวิธีใหม่ๆ กับการไม่ตรวจหรือไม่รักษาอะไรจะเสี่ยงกว่ากัน ถ้าอยู่เฉยๆ (ไม่ทำอะไรเลย) เสี่ยงน้อยกว่า ก็อยู่เฉยๆ ดีกว่าครับ.....!!!

แต่ถ้าอยู่เฉยๆ (ไม่ทำอะไรเลย..... เพราะกลัวเจ็บ!!!) แล้วมีความเสี่ยงมากกว่า เราก็ค่อยหาวิธีตรวจและรักษาความผิดปกติหรือโรคที่มีต่อไป ทีนี้จึงค่อยมาดูกันว่า การตรวจและการรักษาที่มีให้เลือกสำหรับภาวะและโรคนั้นๆ วิธีไหนจะให้ประโยชน์มากกว่ากัน

สำหรับการตรวจต่างๆ นั้นประโยชน์ ก็คือต้องดูว่า การตรวจวิธีไหนจะถูกต้องแม่นยำกว่ากัน สำหรับผู้ที่ได้รับการตรวจอาจจะต้องถามผู้ตรวจด้วยว่า วิธีไหนเจ็บมากน้อยแค่ไหน ความสะดวก (รวดเร็ว) ในการตรวจเป็นอย่างไร และบางคนที่มีประกันสุขภาพ ก็ต้องดูให้ดีด้วยว่า ประกันของเราจะรวมการตรวจรักษาใหม่ๆ นั้นหรือไม่ เพราะระบบประกันสุขภาพต่างๆ (รวมทั้งประกันส่วนตัว, ประกันสังคมและโครงการ 30 บาท) มักจะตามไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากการตรวจเหล่านี้จะมีราคาสูงมากและประโยชน์เพิ่มขึ้นมีไม่มากนัก เมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่มขึ้น (ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราตีราคาความเสี่ยงและชีวิตคนเป็นเงินได้!!!)

ถ้าเป็นวิธีการรักษาประโยชน์ที่จะดูว่าวิธีใหม่ๆ นั้นดีกว่าวิธีเก่าอย่างไรก็ให้ดูที่ว่า วิธีรักษานั้นๆ มีโอกาสที่ทำให้ท่านหายจากโรคนั้นได้มากน้อยเพียงไร อาการ (ความเจ็บปวด ทรมาน รู้สึกไม่สบาย) ดีขึ้นแค่ไหน และวิธีการรักษานั้นๆ ป้องกันไม่ให้ท่านกลับมาเป็นโรคเดิมได้อีกและได้ดีแค่ไหน

ส่วนความเสี่ยงจากการตรวจและรักษา ในเรื่องของหัวใจก็ให้ดูเรื่องโอกาสที่จะเสียชีวิต เกิดหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว อัมพาตหรืออัมพฤกษ์ ว่ามีมากน้อยแค่ไหนระหว่างการไม่รักษาหรือการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ด้วย

ยกตัวอย่างเรื่อง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ) ความเสี่ยงของการตรวจต่างๆ เรียงลำดับจากน้อยไปมาก......

คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), คลื่นสะท้อนเสียงหัวใจ (ECHO), ตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจด้วยการเดินสายพาน หรือใช้ยา (Stress Test), ตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac MRI), ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (Multislices Detector CT scan – MDCT) และท้ายที่สุด คือ การเอ็กซเรย์หลอดเลือดหัวใจด้วยการสวนหัวใจ (Catheterization Coronary Angiography) ……สองอย่างสุดท้ายนั้นต้องมีการฉีดสีหรือสารทึบรังสีด้วย!!!

ส่วนความแม่นยำนั้น เรียงจากต่ำไปสูง คือ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, คลื่นสะท้อนเสียงหัวใจ, ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินสายพาน, ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง, ตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและแม่นยำที่สุด (ที่มีในเวลานี้) คือ การเอ็กซเรย์หลอดเลือดหัวใจด้วยการสวนหัวใจ

สำหรับการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ถ้าเรียงตามความเสี่ยงจากน้อยไปมาก คือ

การออกกำลังกาย (ที่ถูกวิธี และแนะนำควบคุมโดยแพทย์), การรักษาด้วยยา, การนวดด้วยเครื่องนวดรักษาหัวใจ (EECP), การขยายหลอดเลือดด้วยบัลลูนและใส่ขดลวด และเสี่ยงสูงสุด คือ การผ่าตัด!!! ........ แต่อย่าลืมนะครับ หากเสี่ยงกับการไม่รักษาเลยว่า อะไรจะเสี่ยงกว่ากัน

ส่วนประโยชน์ที่จะได้จากการรักษาต่างๆ เรียงจากน้อยไปมากได้แก่ การรักษาด้วยยา, การนวดด้วยเครื่องนวดรักษาหัวใจ, การขยายหลอดเลือดโดยทำบัลลูนใส่ขดลวด...... แต่ในระยะหลัง การใช้ขดลวดเคลือบยาและการผ่าตัดทำบายพาสนั้น ได้ประโยชน์เกือบเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ในลักษณะโรคบางชนิดเท่านั้น!!

ตัวอย่าง ความเสี่ยงและประโยชน์ที่ว่ามานั้น เป็นรายงานของคนไข้ส่วนใหญ่เท่านั้นนะครับ คนไข้แต่ละคน หมอต้องดูรายละเอียดเป็นรายๆ ไป เพราะคนเราแต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน โรคที่เป็นก็ไม่เหมือนกัน (ถึงแม้จะเรียกชื่อโรคเดียวกัน) ผลการรักษาแบบเดียวกันคนหนึ่งได้ผลดี อีกคนหนึ่งอาจจะได้ผลไม่ดีก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหมอสองคนให้การรักษาคนไข้สองคนที่เป็นโรคเหมือนๆ กัน (จริงๆ ต้องใช้คำว่าโรค ชื่อเดียวกัน เพราะดูรายละเอียดแล้วอาจจะไม่เหมือนกันทุกอย่าง!!) คนไข้คนหนึ่งรอด อีกคนหนึ่งอาจจะตายก็ได้!!!

มีคนไข้คนหนึ่ง อายุประมาณ 60 ปีเศษ มาพบผมด้วยอาการจุกแน่นที่ลิ้นปี่ ค่อนขึ้นมาตรงกลางหน้าอก ขณะกำลังเดินไปที่จอดรถหลังรับประทานอาหาร มีอาการอยู่ 2 ครั้ง แน่นอยู่ครั้งละ 5 – 15 นาที ทีแรกคิดว่าเป็นโรคกระเพาะ รับประทานยารักษาโรคกระเพาะแล้ว อาการไม่ดีขึ้น

เมื่อผมฟังอาการก็บอกได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ (แม่นกว่าวิธีตรวจต่างๆ เสียอีก!!) ว่าเป็นอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดหัวใจตีบ แน่ๆ

แต่คนไข้กลัวการสวนหัวใจมาก ผมจึงส่งไปตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (64-slice หรือ MDCT scan) ก่อน ก็พบว่ามีหลอดเลือดหัวใจตีบมากจำนวน 3 เส้น ดูแล้วแต่ละแห่งน่าจะทำการขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวดเคลือบยาได้ จึงได้อธิบายวิธีทำ ข้อดีข้อเสีย และความเสี่ยงของการรักษา (และไม่รักษา) ด้วยการขยายหลอดเลือดไปแล้ว ถามคนไข้ว่า จะตัดสินใจว่าอย่างไร......

คนไข้ “ขอผมไปปรึกษากันก่อนนะครับ” ..... คนไข้มักจะพูดแบบนี้เวลากลัว และเกรงใจหมอ

หมอ “ปรึกษาใครกันอีกล่ะครับ?” โธ่..... ก็ทั้งลูกทั้งภรรยามาด้วยกันครบทุกคน แถมทุกคนก็เชียร์ให้ทำ

“ผมขอไปปรึกษาหมอ (อีกคน) ก่อน” คนไข้ค่อยๆ พูดด้วยความเกรงใจ
หมอ “อ๋อ! ได้เลยครับ ดีเหมือนกัน ลองถามความเห็นหลายๆ คนเพื่อความสบายใจ”

ภรรยารีบตัดบท “ไม่ใช่หรอกค่ะหมอ .... เค้ากลัวมาก... จะไปหาหมอดูให้ช่วย ดูฤกษ์ที่จะมาทำบัลลูนกับ หมอมากกว่า!!”

หมอได้ (ฉวย) โอกาส “อ้าว!! ถ้าอย่างนั้นต้องเอาดวงผมไปดูด้วยนะครับ..... แต่เมื่อวันก่อนผมเพิ่งไปดูมา

.... หมอ (ดู) บอกว่า ผมจะทำการงานใดๆ ก็สำเร็จ ทั้งงานใหญ่ งานเล็ก ได้ผลดีเกินคาด แต่ถ้า ผ่านอาทิตย์นี้ไปแล้วให้ระวัง” .....ตอนสุดท้ายนี้ ผมเติมเอง แล้วก็ไอ้ที่บอกว่า ให้ระวังน่ะ คือ ให้ระวังคนไข้หนีมากกว่า!!

พอพูดจบ คนไข้ที่เชื่อหมอดูมากกว่าหมอหัวใจ ก็ยอมเข้าโรงพยาบาลมารับการขยายหลอดเลือดเสร็จเรียบร้อยกลับบ้านไป ตอนอยู่โรงพยาบาลตรวจพบเพิ่มขึ้นว่า เป็นเบาหวานและมีไขมันในเลือดสูง จึงได้รับการรักษาและคำแนะนำเพิ่มเติมไปด้วย.......

เป็นอันว่า คนไข้คนนี้เป็นไปตามคำทำนาย (ที่ผมแต่งเอง) เพราะการรักษาได้ผลดีและพบโรคอื่นเพิ่มขึ้น .....ซึ่งก็ได้รับการรักษาไปด้วย

๑. อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า

หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง


กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง

ไม่มีโอกาส" จิตประภัสสร " ฉะนั้นจงมองคน มองโลกในแง่ดี


" แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข "






๒. อย่ามัวแต่คิดริษยา

" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "

คนเราต้องมีพรหมวิหาร ๔คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร "

ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยา

ออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " (ไฟเย็น)


เราริษยา ๑ คน เราก็มีทุกข์ ๑ ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยา

ออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา


แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป







๓. อย่าเสียเวลากับความหลัง

๙๐ % ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ

" ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "


มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขา

พร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย


ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ

อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน

" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น "

ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา







๔. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

" ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี

เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา

คือ
ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม

เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู

คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร

แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า เกิดมาทำไม คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมา

เป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ

คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

ความรักนั้น มันก็เหมือนกับ " ผีเสื้อ "

ยิ่งคุณวิ่งเข้าหามันเท่าไหร่ มันก็จะห่างคุณออกไปเท่านั้น

แต่ถ้าคุณปล่อยมันไป มันจะเข้ามาหาคุณเองแหล่ะ

.. ถ้าคุณไม่คาดหวังกับมันมาก

ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข แต่มักจะทำให้คุณเจ็บปวด

แต่ความรักจะเป็นสิ่งที่พิเศษ ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคนที่คู่ควร

อย่ารีบร้อน ค่อยๆ เลือก เลือกคนดีที่สุด

สำหรับ ใครที่..... " ไม่ใคร่โสด "

เค้าบอกว่า... ความรักไม่ไช่ การเป็นคนดีพร้อม สมบูรณ์ ของใคร

แต่

รักคือการหาใครสักคนที่ช่วยให้คุณเป็นคนดีที่สุดเท่าที่คุณดีได้


สำหรับ ใครที่เป็น....... " คนเจ้าชู้ "

อย่าพูดคำว่า " รัก " เลย ถ้าคุณไม่ได้ใส่ใจกับความหมายนั้น

อย่าพูดถึงความรู้สึก ถ้ายังไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น

อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเค้าเลย ถ้าคุณจะทำให้เค้าเสียใจ

อย่าไปมองลึกถึงดวงตา ถ้าทุกคำพูดของคุณล้วนโกหกทั้งเพ

สิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่ชายหนึ่งพึงทำได้

คือทำให้ผู้หญิงเข้าหลงรักแล้วไม่ใส่ใจใยดี ผู้หญิงก็เหมือนกัน......


สำหรับ ใครที่...... " อกหัก "

(อันนี้เค้าเขียนดี.. เค้าบอกว่า...)

การอกหัก มันยืนยาวตราบเท่าที่คุณต้องการให้มันอยู่กับคุณ

และบาดความรู้สึกคุณได้เจ็บลึกเท่าที่คุณยอมให้บาดที่สำคัญก็คือว่า

มันไม่ใช่จะพ้นจากสภาวะอกหักยังไง

แต่มันอยู่ที่ว่า....เราเรียนรู้จากมัน ได้แค่ไหน ต่างหาก ......


สำหรับ ใคร ๆ ที่.... " ไร้เดียงสาในรัก "

จะรักได้อย่างไร : รักแต่อย่าลุ่มหลง
คงเส้นคงวาแต่ไม่ดื้อรั้น

แบ่งปัน และ ไม่เอาเปรียบพยายามเข้าใจกันและกัน มากกว่าที่จะเรียกร้อง

หากต้องเจ็บ ก็เจ็บ แต่อย่าเอาความเจ็บนั้น ติดตัวเสมอไป

สำหรับ ใครที่...... " มีคนหลงรักอยู่ "

เค้าบอกว่า...

มันเจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารัก มีความสุขกับคนอื่น

แต่มันจะเจ็บปวดยิ่งกว่า

ถ้าคนที่เรารัก ไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับเรา


สำหรับ ใครที่..... " กลัวต่อการสารภาพรัก "

ความรักมันเจ็บปวด ถ้าคุณต้องไปบอกเลิกกับใครสักคน

แต่มันจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้ามีคนมาบอกเลิกกับคุณ

แต่มันจะเจ็บที่สุด หากคนที่คุณรัก ไม่เคยได้รู้เลยว่า

คุณรักเค้า

สำหรับ ใคร ๆ ที่ยัง......." คบ ๆ กันอยู่ "

เค้าบอกว่า..

สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต ก็คือ การที่เราพบ และ รักใครสักคน

จนสุดท้าย พบว่ามันไม่ใช่.....

และคุณเสียเวลาไปเป็นปี ๆ ให้กับคนที่คนที่ไม่คู่ควร

ถ้าเค้าคนนั้นของคุณ ไม่ใช่คนที่ใช่เลยของคุณตอนนี้ แล้วล่ะก็

จะมาเสียเวลา เป็นปีๆ กับเค้าทำไม ปล่อยไปเถิด.....

ระวังอากาศหนาวก่อ 6 โรคเชื้อไวรัส และปอดบวม คร่าชีวิตแล้วกว่าครึ่งพัน

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะ นี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว ประชาชนมีโอกาสเสี่ยงจากความหนาวเย็น โดยเฉพาะหากพื้นที่ที่กำลังมีน้ำท่วมขังขณะนี้ ต้องเพิ่มความระมัดระวังดูแลสุขภาพเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากมีสภาพความเปียกชื้นสูงกว่าพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์สถานการณ์โรคของสำนักระบาดวิทยา พบว่า โรคในฤดูหนาว ส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อในกลุ่มไวรัสที่สำคัญ ได้แก่ โรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สุกใส ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม

ตั้งแต่ต้นปี 2549
จน ถึงขณะนี้ พบผู้ป่วยจาก 6 โรคดังกล่าวแล้ว 162,589 ราย เสียชีวิต 541 ราย ประกอบด้วย โรคหัด 2,464 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โรคสุกใส 40,112 ราย เสียชีวิต 3 ราย โรคคางทูม 5,536 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โรคปอดบวม 101,693 ราย เสียชีวิต 536 ราย และโรคไข้หวัดใหญ่ 12,780 ราย เสียชีวิต 2 ราย ได้ให้กรมควบคุมโรคเฝ้าระวังในพื้นที่น้ำท่วมขังเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหากมีผู้ป่วยอาจจะแพร่ติดกันได้ง่าย เพราะประชาชนส่วนใหญ่มักอยู่รวมกันในบ้านเรือน

ด้าน นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรค หัด เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อทางลมหายใจ มีอาการไข้สูง ไอมาก ตาแดง หรือน้ำมูกไหล และมีผื่นแดงตามตัว โดยขณะที่ผื่นขึ้นนั้นยังมีไข้สูงอยู่ โดยพบผู้ป่วยเพิ่มสูงมากในเดือนมกราคม จนถึงเดือนมีนาคมทุกปี โรคนี้มักพบในเด็กวัยอายุต่ำกว่า 15 ปี พบบ่อยในเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน พบผู้ป่วยมากในภาคกลาง มากที่สุดที่กรุงเทพมหานคร 228 ราย รองลงมาที่จังหวัดกาญจนบุรี 112 ราย ในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม พบจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีผู้ป่วยมากที่สุด 50 ราย

โรคสุกใส เกิดจากเชื้อไวรัส โรคนี้ติดต่อได้ค่อนข้างง่ายจากการสัมผัส แต่ถ้าคนที่เคยป่วยแล้ว จะมีภูมิต้านทานตลอดชีวิต พบผู้ป่วยมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 14,450 ราย เสียชีวิต 1 ราย มากที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา 2,426 ราย ในจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม มีรายงานโรคสุกใสมากที่สุด คือ จังหวัดนครสวรรค์ 1,016 ราย โรคนี้มีอาการไข้สูงปานกลาง มีตุ่มใสขึ้นที่หน้า ลำตัว แขน ขา โดยเฉพาะเด็กเล็กหากตุ่มขึ้นในช่องปาก อาจทำให้ดูดนม หรือรับประทานอาหารได้น้อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อย จะหายจากอาการป่วยในเวลาไม่นานและมักจะไม่มีโรคแทรกซ้อน

นพ.ธวัช กล่าวด้วยว่า สำหรับโรคคางทูม เกิดจากเชื้อไวรัส อาการจะมีไข้ปานกลาง ต่อมน้ำเหลืองบริเวณกกหูโต และมักโตทั้ง 2 ข้าง พบมากที่สุดในฤดูหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ถึงมีนาคม โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบผู้ป่วยมากที่สุดจำนวน 2,242 ราย มากที่สุดที่จังหวัดอุดรธานี 188 ราย ในจังหวัดที่มีน้ำท่วม พบผู้ป่วยมากที่สุดที่จังหวัดนครสวรรค์ 70 ราย โรคนี้พบมากที่สุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 - 9 ปี เป็นแล้วอาการมักจะไม่รุนแรง จะหายเองภายใน 2 สัปดาห์ แต่ถ้าพบโรคนี้ในเด็กโต อาจจะเกิดภาวะข้างเคียงได้ คือ ลูกอัณฑะอักเสบ การป้องกันโรคนี้ให้แยกผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม และผ้าเช็ดหน้า ห้ามใช้กับผู้ป่วย

โรคที่พบต่อมาก็คือ ปอดบวม มี รายงานผู้ป่วยมากที่สุดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 31,175 ราย เสียชีวิต 27 ราย มากที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา 4,205 ราย เสียชีวิต 19 ราย ส่วนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมพบผู้ป่วยมากที่สุดที่จังหวัดพระนครศรี อยุธยา จำนวน 2,186 ราย เสียชีวิต 33 ราย รองลงมาคือ จังหวัดนครสวรรค์ 1,916 ราย เสียชีวิต 55 ราย สำหรับโรคปอดบวมนี้ เกิดได้ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย แต่ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการที่พบได้แก่ ไข้ ไอ เสมหะมาก แน่นหน้าอกเหมือนหายใจไม่ออก หอบ หายใจเร็ว มักพบตามหลังไข้หวัดเรื้อรังหรือรุนแรง หรือโรคหลอดลมอักเสบ

พบบ่อยในกลุ่มที่เป็นโรคหอบหืด กลุ่มอายุที่พบมาก คือ อายุต่ำกว่า 10 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็ก อายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ จะต้องดูแลเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนกลุ่มอื่น หากป่วยเป็นไข้หวัด หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง หลังจากพบแพทย์ในเบื้องต้นแล้ว หากอาการยังไม่ทุเลา ก็ควรไปพบแพทย์ซ้ำ เพื่อติดตามการรักษาต่อไป การดูแลอื่น ๆ ได้แก่ การใส่เสื้อผ้าเพื่อสร้างความอบอุ่นร่างกาย การดื่มน้ำอุ่น การอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่แออัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการหายใจรับเชื้อเข้าไป

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัส มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามตัวมาก อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน มักพบในผู้ใหญ่วัยทำงาน และเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ในปีนี้พบผู้ป่วยสูงสุดในภาคกลาง จำนวน 5,048 ราย เสียชีวิต 1 ราย มากที่สุดที่กรุงเทพมหานคร 586 ราย ในจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมพบผู้ป่วยมากที่สุดที่จังหวัดจันทบุรี 438 ราย

รองลงมาได้แก่ จังหวัดสุโขทัย 302 ราย ในการป้องกันโรคนี้ ประชาชน ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงและสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นร่างกายอยู่เสมอ ทั้งนี้ โรคปอดบวมและไข้หวัดใหญ่ นั้น จะต้องมีการเฝ้าระวังและดูแลเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากเป็นโรคที่มีอาการสำคัญของโรคที่คล้าย และใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดนก และอากาศหนาว ที่เริ่มเข้ามาก็เป็นปัจจัยเสริมด้านสิ่งแวดล้อม อาจทำให้เชื้อไวรัสไข้หวัดนกแพร่ระบาดได้

การนอกใจ (Cheating/Infidelity) เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดรวดร้าว และบ่อนทำลายตัวตนของเราอย่างย่อยยับ ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายนอกใจคู่ หรือถูกคู่นอกใจคุณก็ตาม เมื่อคุณนอกใจ ควรสารภาพหรือไม่หรือเก็บความลับนี้ไว้ให้ตายไปกับตัว ปัญหานี้เป็นเรื่องที่เถียงกันโลกแตกก็ยังหาจุดสิ้นสุดมิได้ เพราะคนที่รู้สึกผิดมากๆ ก็มักตอบว่า “ต้องบอกสิ เพราะเราทำผิดไปแล้วยิ่งไม่ควรปิดบังความจริงจากคู่ของเรา ถ้าเขามารู้ทีหลังเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่เลย”

แต่นักจิตวิทยาอเมริกันคิดตรงข้ามค่ะ ส่วนใหญ่ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำว่า.หากเรื่องมันผ่านไปแล้ว การนอกใจจบลงแล้ว และชาตินี้คู่ของเราจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ ก็ขอให้ปิดปากเงียบเป็นดีที่สุด อย่าได้ปริปากเอ่ยถึงเป็นอันขาด เพราะ การ โดนนอกใจเป็นการทำลาย TRUST-ความไว้ใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการมีชีวิตคู่ ใช้เวลาอีกหลายปีเหลือเกินกว่าคู่นั้นจะสร้างความไว้ใจให้กลับขึ้นมาใหม่ได้ อีกครั้ง ฉะนั้น เวลาที่คุณสารภาพความผิดกับแฟนคุณ อย่าคาดหวังว่าการสารภาพให้เธอรู้ก่อนเป็นเรื่องดี มันจะต้องช่วยล้างมลทินของคุณได้อย่างหมดจดรวดเร็วสิ คุณคิดผิดค่ะ มันทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง และต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะเริ่มสร้างใหม่ได้อีกครั้ง

ดังนั้นคุณต้องอดทนอย่างหนักและยาวนาน กว่าที่ความสัมพันธ์จะกลับมาใกล้เคียงจุดเดิม การ โดนนอกใจ ทำลายความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าของคู่ของเรา (self-esteem) ทำลายความมั่นใจในตัวเองของเขาจนหมดสิ้น (self-worth) ทำลายอัตตาย่อยยับ นักจิตวิทยาแนะนำว่า ถ้าคู่ของคุณเป็นคนจิตใจอ่อนแออยู่แล้ว กรุณาหุบปาก อย่าบอกเด็ดขาด เพราะการบอกให้เขารู้มันเหมือนฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น การ สารภาพมักเกิดจากการทนรู้สึกผิดไม่ไหว อยากระบายออกไปให้ตัวเองสบายใจขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่เลวร้ายที่สุดของการสารภาพ เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนดีขึ้น มันมาจากความเห็นแก่ตัว (อีกแล้ว) ต่างหาก “The worst possible reason to confess is to make you feel better” แค่เพียงเพราะเราได้ระบายออกไปจะได้รู้สึกโล่งขึ้น แต่เราลืมไปว่ามันกำลังขุดหลุมความเจ็บปวดลงในจิตใจของคู่รักอย่างแสนสาหัส “เมื่อคุณทำผิดไปแล้ว ก็จงแก้ปัญหาผลที่ตามมาด้วยตัวเอง อย่าไปทำร้ายคู่ของคุณอีกเลย” โดยส่วนตัวของฉันที่เคยโดนแฟนนอกใจมาเอง ฉันเลือกฟังเขาสารภาพ ดีกว่าตายไปทั้งๆ ที่คิดผิดๆ ว่า “เขาไม่เคยปันใจจากฉันเลย” สำหรับฉันการหลงผิดแย่เสียยิ่งกว่ารู้ว่าโดนนอกใจอีกค่ะ ฉันเลยไม่เห็นด้วยนักกับนักจิตวิทยาชีวิตคู่ การที่เขาสารภาพ อย่างน้อยมันคือโอกาสช่วยให้ฉันได้รู้ความจริงของความสัมพันธ์ว่าเราสองคนทำ ผิดพลาดตรงไหน มันช่วยเปิดตาให้สว่างว่าปัญหาของเราคืออะไร และฉันมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร อย่างน้อยหลังผ่านเหตุการณ์นี้ ความสัมพันธ์ของเราสองคนอาจเติบโตก้าวหน้าขึ้นอีกมาก จากการเห็นตัวตนแท้จริงของกันและกัน หรือถ้าความสัมพันธ์ของเราต้องแตกสลายไป อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่ฉันมีต่อตัวเองจะพัฒนาขึ้นได้จากบทเรียนครั้งนี้ แน่นอน แต่ถ้าแฟนทำให้ฉันเชื่อว่าเขารักฉันคนเดียวแล้วฉันมาจับได้ทีหลัง ฮึ่ม...พ่อตายหยังเขียด หลังจากรู้ว่าแฟนนอกใจแล้ว เราควรให้อภัยหรือไม่ และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเลิกขาดแล้วจริงๆ

1. ต้องใช้เวลาตัดสินใจก่อนว่าคุณจะอยู่หรือคุณจะไป dealing with a cheating spouse first has to come after the decision as to whether or not you want to stay together as a couple. Fraser Wheaton : How To Survive A Cheating Spouse คุณ Fraser Wheaton เถ้าแก่หนุ่ม วัย 36 ปี แต่มีงานอดิเรกเขียนบทความให้เว็บไซต์ EZINE.com เขาเขียนถึงการรอดชีวิตหลังโดนนอกใจไว้ดีมาก ใน How To Survive A Cheating Spouse ว่าสิ่งที่คุณต้องทำเป็นอันดับแรก ไม่ใช่คิดว่าจะทำอย่างไรกับแฟนนอกใจดี แต่ต้องตัดสินใจก่อนว่าคุณยังอยากคบเขาต่ออีกหรือไม่ในฐานะคู่ “สิ่ง ที่คุณต้องทำเป็นอย่างแรก คือสำรวจใจตัวเองอย่างจริงจังว่า...คุณยังอยากอยู่กับคนๆ นี้ต่อไปอีกหรือไม่ ถ้าคุณตัดสินใจว่าอยากคบเขาต่อ...คุณต้องรู้ก่อนเลยว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ ยากและยาวนานของคุณทั้งคู่ การสร้างความไว้ใจให้กลับมาใหม่ เป็นกระบวนการที่ช้าและนานมากๆ แต่บางคู่ก็ทำได้มาแล้วครับ” ฉันตะลุยศึกษาเรื่องการนอกใจและผลที่ตามมาหลังจากนั้นมาพอสมควร ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่ทำงานบำบัดชีวิตคู่ตอบตรงกันเลยค่ะว่า...ความไว้ใจเป็น รากฐานที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของ relationships ฉะนั้นเมื่อความไว้ใจถูกทำลายลงแล้ว มันใช้เวลานานมากและยากมากกว่าจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ฉันเลยไม่ค่อยเข้าใจคุณผู้ชายทั้งหลายที่นอกใจมักสารภาพผิดกับแฟน ขอให้เธอยกโทษให้ ให้สัญญาว่าจะเลิกกับฝ่ายโน้น แก้ไขปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และจะไม่ทำแบบเดิมอีกแล้ว แล้วคาดหวังว่าแฟนหรือภรรยาจะสามารถกลับมารักเขาเหมือนเดิม ไว้ใจเขาแบบเดิมได้ ‘รวดเร็วอย่างที่เขาคาดหวัง’ ระยะเวลากลับมาเป็นเหมือนเดิมขึ้นอยู่กับคนแต่ละคน และคู่แต่ละคู่ก็ใช้เวลาไม่เท่ากันจริงๆ ค่ะ ฉันว่าต้องอดทนค่อยๆ เยียวยาไม่ต่ำกว่า 1 ปีทีเดียว การเยียวยาความเชื่อมั่นที่แหลกสลายเป็นกระบวนการที่ slow and long process เหมือนที่เถ้าแก่เฟรเซอร์และผู้เชี่ยวชาญทุกคนบอกจริงๆ ทว่า...การที่คนโดนนอกใจเลือกอยู่กับแฟนคนเดิม แต่ขุดเรื่องเดิมขึ้นมาพูดทุกครั้งที่มีโอกาสหลังจาก 2 ปีผ่านไป อันนั้นฉันว่า...ยังเจ็บจำฝังใจไม่เลิกราแน่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น เลิกกันดีกว่าทนฝืนอยู่ต่อไปค่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ใจคุณยังผูกใจเจ็บ ยังโกรธเคือง ยังไม่ได้ให้อภัยจริงๆ ถึงได้เจ็บจำนานขนาดนั้น Doug กับ Chris Young ผู้เขียน How To Survive Infidelity: Tips and Advice From a Couple Who’ve Actually Been There and Done It ให้ข้อเตือนใจไว้ดีมากว่าคุณต้องเลือกตัดสินใจด้วยตัวเองและเชื่อมั่นตาม นั้น อย่าไขว้เขวไปกับคำแนะนำหรือความเห็นของคนอื่น “โปรดจำไว้เสมอว่า...คุณเป็นคนที่ต้องอยู่กับการตัดสินใจของคุณเอง ไม่ใช่ใครอื่น”

2. ให้แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนๆ นั้นจบลงแล้วจริงๆ How To Survive Infidelity.com ย้ำว่าสำคัญมากที่การติดต่อกับมือที่ 3 ต้องยุติลงได้แล้ว เพราะมันมีผลโดยตรงกับอนาคตของคุณกับเขา ถ้าอยากให้กลับมาอยู่กันได้ไปกันรอดจริงๆ เขาก็ต้องตัดขาดกับมือที่ 3 เลิกติดต่อเกี่ยวข้องใดๆ อีก ไม่ใช่แค่เลิกแบบไม่มีเซ็กซ์เท่านั้น แต่ยังแอบห่วงใย โทรไปถามสารทุกข์สุกดิบ หรือว่าฝ่ายนั้นยังส่งอีเมลอาลัยรัก คิดถึงนะ...มาหาแฟนเรา ไม่ได้อีกแล้วเด็ดขาด คู่ของเพื่อนฉัน ฝ่ายชายยังแอบติดต่อชู้รักอยู่ โดยให้เหตุผลว่า “ผมเป็นฝ่ายผิด จะให้ทิ้งเขามาโดยไม่ดูดำดูดีเลยได้อย่างไร” อย่า ค่ะ-คุณอย่าซื้อมุกบัฟฟาโล่แบบ...โถพ่อพระเอก (จอมปลอม) แบบนี้เด็ดขาด ถ้าเขาเลือกจะรักษาชีวิตรักหรือชีวิตสมรสกับคุณไว้ เขาต้องแสดงออกชัดเจนว่าเขาเลิกกับคนนั้นได้แล้วจริงๆ ไม่มีคำว่าพื้นที่สีเทาโดยเด็ดขาด ถ้าเขาทำตัวให้คุณเห็นพื้นที่สีเทา คือไม่ชัดเจนเด็ดขาดซะที ฟันธงเลยว่าเขาจะกลับไปหาเธออีกแน่นอน จะเพราะเขาใจอ่อนอีก หรือเพราะเขาหลอกคุณว่าเลิกแล้วแต่จริงๆ แล้วไม่ได้เลิกกันจริงก็เป็นได้

3. เขาต้องแสดงออกว่ายอมรับผิดจริงๆ และมีการลงมือทำเพื่อแก้ไขความผิดอย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหานอกใจ ต่างฟันธงหนักแน่นว่า สัญญาณที่บอกว่าคนของเราพร้อมจะเยียวยาความสัมพันธ์จริงๆ คือต้องชัดเจนทั้งการแสดงออกและพฤติกรรม ว่าเขาพร้อมรับผิดและพร้อมจะแก้ไขตนเองเพื่อให้คุณกลับมารักเขาไว้ใจเขาได้ อีกครั้ง การยินยอมเปิดเผยเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าจำเป็นมาก เพราะเป็นการช่วยให้คนที่โดนนอกใจรู้สึกมั่นใจขึ้น ถ้าเขาบอกคุณว่า “ก็ขอโทษแล้วไงจะให้ทำอะไรอีก!” แสดงว่าเขาสำนึกผิดแค่ปาก ขอโทษแค่ขอไปที ในใจส่วนลึกไม่ได้รู้สึกอยากจะแก้ไขจริงๆ การแก้ไขที่เห็นได้ชัดเจนคือ - เขาพร้อมจะบอกคุณตลอดทุกครั้งว่าเขาไปไหน อยู่กับใคร ทำอะไรอยู่ ไม่ใช่บอกว่า “เรากลับมาดีกันนะ” แต่ยังทำตัวลึกลับ หายหัวแว่บอยู่บ่อยๆ หรือแอบงุบงิบโทรหาใคร...เหมือนเดิม - เขาพร้อมจะให้คุณตรวจสอบจริงๆ ไม่ใช่แค่แสดงว่าพร้อมให้ตรวจ แต่เอาเข้าจริงกลับทำโมโหเฉไฉบ่ายเบี่ยง - เขาให้เวลาคุณเต็มที่จริงๆ เพื่อสร้างสะพานความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ ไม่ใช่ปากขอโทษ บอกว่าจะชดเชยให้คุณ แล้วก็ติดงานยุ่งมาก จนไม่มีเวลาคุณภาพกับคุณมากนัก ถ้าเขายังไม่ทุ่มเทให้กับการแก้ไขเยียวยาความสัมพันธ์ คุณจงตระหนักรู้ไว้เลยว่า...เป็นสัญญาณเตือนว่า จิตใจของเขาไม่พร้อมทุ่มเทให้ความรักของคุณสองคนไปกันรอด เขาแค่รับปากเอาตัวรอดไปอย่างนั้น!

4. การเยียวยาแก้ไขปัญหาให้ดีขึ้น ต้องร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งเขาและคุณ Making it work takes a joint effort. คำคมจากสมาชิกเว็บบอร์ดเยียวยาการนอกใจ username:Forgive but not forget เป็นประโยคที่สั้นแต่จริงอย่างที่สุด เพราะจากคู่รักหลายรายที่ฉันร่วมรับรู้มา ความพยายามจากฝ่ายเดียว ไม่มีทางช่วยให้คู่ไปกันได้รอดหลังรู้ว่ามีการนอกใจ การร่วมมือทั้งสองทางมาจากทั้งคุณและเขาค่ะ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง การพยายามอยู่ข้างเดียว ได้แก่ - คุณพยายามแก้ไขความสัมพันธ์ทุกทางแล้ว ทั้งปรับรูปโฉมให้ปิ๊งขึ้น ทั้งพยายามเข้าถึงเขา แต่เขาไม่รับผิดชอบการกระทำของตัวเองเลย ยังทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง หรือดีแค่ช่วงแรกๆ แต่แล้วก็กลับไปลงลูปเดิม หรือคุณพร้อมให้อภัยให้เขากลับตัว แต่เขาไม่เคยแสดงให้เห็นการกระทำใดๆ ที่ชัดเจนจากเขาเลย การที่เขาทำตัวแบบนี้มักมาจากการที่เขาไม่ได้เป็นคนเลือกอยู่ด้วยกันต่อไป แต่มาจากคุณเองที่ไม่ยอมเลิกจากเขาจนแล้วจนรอด เขาเลยไม่รู้จะแคร์คุณไปทำไม หรือเขาไม่เลิกกับคุณก็เพราะรู้สึกผิด (Guilt) และกลัวเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น ไม่ได้เกิดจากการที่เขารักและไม่อยากเสียคุณไปจริงๆ - เขาพยายามแก้ไขความผิด พยายามทำดีชดเชยให้คุณทุกทางแล้ว แต่คุณไม่เคยให้อภัยเขา ไม่เคยยอมรับความพยายามของเขา ยังคงจุกจิกจู้จี้กับเขา ยังคงระบายอารมณ์ใส่เขา ยังคงกล่าวตำหนิเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งๆ ที่คุณเองเป็นคนเลือกแล้วว่าจะคบกันต่อไป คุณก็ต้องเป็นคนใจกว้างพอที่จะให้โอกาสกันและกันได้แก้ไขสิ่งผิด เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับคุณทั้งสองคนค่ะ การให้อภัยแต่ปาก ไม่ต่างจากการที่คนนอกใจขอโทษแต่ปาก แต่ไม่แสดงความจริงใจที่จะแก้ไขเลยเช่นกัน ฉันรู้ค่ะว่ามันยากมากที่จะให้อภัยเขาได้ แต่ถ้าคุณเลือกแล้วว่าจะอยู่ต่อ คุณก็ต้องรับผิดชอบและเคารพการตัดสินใจของตัวเองด้วย ถ้ารับไม่ได้จริงๆ ก็เลิกเถอะ อย่าหลอกตัวเอง

5. ดูแลตัวเอง รักตัวเองให้มาก แวดล้อมด้วยผู้คนที่ให้กำลังใจคุณ “There’s life after cheating” ทุกกูรูความสัมพันธ์สนับสนุนทัศนคตินี้เป็นเสียงเดียวกัน แม้ว่าการโดนนอกใจจะเป็นความเจ็บปวด ขายหน้า ทำลายความไว้ใจ ปล้นความมั่นใจ ทำให้ความฝันและความหวังของคุณพังทลาย แต่ความจริงคือ...ชีวิตของคุณไม่ได้จบเพียงเพราะแฟนคุณนอกใจค่ะ ชีวิตคุณยังมีอีกยาวไกล ยังมีสิ่งดีๆ คนดีๆ รอคุณอยู่อีกเยอะมาก ถ้าคุณตัดสินใจเลือกรับแฟนกลับมาหรือตัดสินใจจากกันไปก็ตาม ยาดีที่สุดที่คุณจะมอบให้ตัวเองได้คือพลังแห่งความรักจากตัวคุณเองและคนรอบ ข้าง ให้เวลาตัวเองมากๆ ในการใคร่ครวญทบทวนชีวิต ไม่ต้องรีบ แล้วเปิดรับมิตรที่สนับสนุนให้กำลังใจแก่คุณ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการเยียวยาแผลใจแล้วเริ่มต้นใหม่อย่างแข็งแรง ฉันจำได้ดีว่าเพื่อนสาวของฉันหลายคนอยากเลิกกับแฟนนอกใจ แต่เจอญาติพี่น้องและเพื่อนบางคนห้ามไว้ ญาติๆ ให้เหตุผลจากมุมมองของคนหัวเก่าว่า “บ้านเราไม่เคยมีใครหย่าจากกัน คนอื่นจะนินทาเอาได้” ส่วนเพื่อนๆ บอกจากมุมมองของความมั่นคงทางการเงินว่า “ถ้าเขาดูแลส่งเสียเธอดี เธอจะไปเอาอะไรกับเขานักหนา ปล่อยให้เขาหาเศษหาเลยเล็กๆ น้อยๆ บ้างเถอะ” อ่านแล้วเหมือนโดนคนรักชกหน้าแล้วเจอครอบครัวผลักซ้ำ