วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552


๑. อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า

หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง


กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง

ไม่มีโอกาส" จิตประภัสสร " ฉะนั้นจงมองคน มองโลกในแง่ดี


" แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข "






๒. อย่ามัวแต่คิดริษยา

" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "

คนเราต้องมีพรหมวิหาร ๔คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร "

ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยา

ออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " (ไฟเย็น)


เราริษยา ๑ คน เราก็มีทุกข์ ๑ ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยา

ออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา


แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป







๓. อย่าเสียเวลากับความหลัง

๙๐ % ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ

" ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "


มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขา

พร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย


ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ

อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน

" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น "

ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา







๔. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

" ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี

เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา

คือ
ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม

เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรู

คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร

แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า เกิดมาทำไม คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมา

เป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ

คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น